SungLassesAustralia.biz

ความรู้ที่น่าสนใจในยุคไอที และการทำการตลาดออนไลน์

Overbought และ Oversold ทำความรู้จักสภาวะตลาดที่คุณควรรู้

นักเทรดและนักลงทุนต้องใช้เครื่องมือทางเทคนิคหลากหลายเพื่อวิเคราะห์แนวโน้มของตลาด หนึ่งในแนวคิดที่มีความสำคัญและถูกนำมาใช้บ่อยๆ คือ “Overbought” และ “Oversold” สองคำนี้เป็นการแสดงถึงสภาวะของตลาดที่อาจจะถูกซื้อหรือขายมากเกินไป ซึ่งมักจะเป็นสัญญาณว่าราคาอาจจะกลับตัวในไม่ช้า

ในตลาดการเงิน เมื่อราคาขึ้นสูงเกินไป หรือถูกซื้ออย่างหนัก (Overbought) นักลงทุนอาจมองว่าเป็นโอกาสในการขายเพื่อทำกำไร ในทางกลับกัน เมื่อราคาตกต่ำและถูกขายมากเกินไป (Oversold) อาจเป็นช่วงที่นักลงทุนเข้าซื้อเพื่อเก็งกำไรจากการฟื้นตัวของราคา ความเข้าใจและการตีความสภาวะ Overbought และ Oversold อย่างถูกต้องจะช่วยให้การตัดสินใจลงทุนมีประสิทธิภาพมากขึ้น

Overbought และ Oversold

Overbought คืออะไร?

Overbought หมายถึงสภาวะที่ราคาสินทรัพย์ถูกซื้อมากเกินไปในช่วงเวลาหนึ่ง จนทำให้ราคาสูงเกินกว่ามูลค่าที่แท้จริง นักลงทุนมักจะใช้ดัชนีทางเทคนิค เช่น RSI (Relative Strength Index) หรือ Stochastic Oscillator เพื่อวัดสภาวะนี้

ตัวอย่างเช่น เมื่อ RSI ของสินทรัพย์ถึงระดับ 70 หรือสูงกว่า แสดงว่าสินทรัพย์นั้นอยู่ในสภาวะ Overbought และอาจเป็นสัญญาณว่าราคากำลังจะกลับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม สภาวะ Overbought ไม่ได้หมายความว่าราคาจะกลับตัวทันที แต่บ่งบอกถึงโอกาสที่ราคาจะลดลงในอนาคต

Oversold คืออะไร?

ในทางตรงกันข้ามกับ Overbought, Oversold หมายถึงสภาวะที่ราคาสินทรัพย์ถูกขายมากเกินไป จนทำให้ราคาต่ำเกินกว่ามูลค่าที่แท้จริง เหมือนกับ Overbought นักลงทุนใช้เครื่องมือทางเทคนิค เช่น RSI และ Stochastic เพื่อวัดสภาวะนี้เช่นกัน

เมื่อ RSI ของสินทรัพย์ตกต่ำกว่าระดับ 30 หมายถึงสินทรัพย์นั้นอยู่ในสภาวะ Oversold ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าราคากำลังจะฟื้นตัวหรือกลับตัวสูงขึ้น นักลงทุนมักมองสภาวะนี้เป็นโอกาสในการเข้าซื้อ เพื่อหวังทำกำไรจากการฟื้นตัวของราคาในอนาคต

เครื่องมือที่ใช้วัดสภาวะ Overbought และ Oversold

1. RSI (Relative Strength Index)

RSI เป็นหนึ่งในเครื่องมือยอดนิยมที่ใช้วัดสภาวะ Overbought และ Oversold RSI ถูกคำนวณจากการเปรียบเทียบกำไรและขาดทุนเฉลี่ยในช่วงเวลาหนึ่ง ถ้า RSI อยู่ที่ระดับ 70 ขึ้นไป แสดงว่าสินทรัพย์นั้นอยู่ในสภาวะ Overbought ขณะที่ RSI ต่ำกว่า 30 หมายถึง Oversold

2. Stochastic Oscillator

Stochastic Oscillator เป็นเครื่องมือที่วัดแรงซื้อและแรงขายในตลาด โดยอิงจากราคาปิดของช่วงที่ผ่านมา ถ้า Stochastic อยู่เหนือระดับ 80 แสดงถึงสภาวะ Overbought และถ้าต่ำกว่า 20 บ่งบอกถึงสภาวะ Oversold

3. MACD (Moving Average Convergence Divergence)

แม้ว่า MACD จะไม่ได้ใช้วัดสภาวะ Overbought และ Oversold โดยตรง แต่เป็นเครื่องมือที่นักเทรดใช้ร่วมกันกับ RSI หรือ Stochastic เพื่อยืนยันสัญญาณและแนวโน้มของตลาด

การนำ Overbought และ Oversold มาใช้ในการเทรด

การนำแนวคิด Overbought และ Oversold มาใช้ในกลยุทธ์การเทรดนั้นมีประโยชน์อย่างมาก เมื่อพบสภาวะ Overbought นักเทรดอาจพิจารณาขายหรือปิดสถานะเพื่อทำกำไร ในทางกลับกัน หากพบสภาวะ Oversold อาจเป็นโอกาสในการเข้าซื้อเพื่อเก็งกำไรจากการฟื้นตัว

อย่างไรก็ตาม การใช้สภาวะเหล่านี้เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ การวิเคราะห์ร่วมกับเครื่องมือทางเทคนิคอื่นๆ จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจเทรดมากขึ้น

ข้อควรระวังในการใช้ Overbought และ Oversold

1. สัญญาณปลอม

การพึ่งพาเครื่องมือทางเทคนิคเพียงอย่างเดียวอาจทำให้นักลงทุนพบกับสัญญาณที่ผิดพลาดได้ เช่น ราคาที่อยู่ในสภาวะ Overbought อาจยังคงขึ้นต่อไปอีกระยะเวลาหนึ่ง การเทรดตามสัญญาณเพียงอย่างเดียวโดยไม่พิจารณาปัจจัยอื่นๆ อาจทำให้พลาดโอกาสในการทำกำไร

2. การยืนยันสัญญาณร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ

เพื่อหลีกเลี่ยงการพลาดท่าจากสัญญาณที่ผิดพลาด นักลงทุนควรใช้ Overbought และ Oversold ร่วมกับเครื่องมือทางเทคนิคอื่นๆ เช่น MACD หรือ Bollinger Bands เพื่อยืนยันแนวโน้มของราคา

สรุปOverbought และ Oversold

Overbought และ Oversold

Overbought และ Oversold เป็นแนวคิดที่ช่วยให้นักเทรดสามารถประเมินสภาวะของตลาดและทำการตัดสินใจในการซื้อหรือขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าสภาวะเหล่านี้จะบ่งบอกถึงโอกาสในการกลับตัวของราคา แต่ควรใช้งานร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ และวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดอย่างรอบคอบ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจากการเทรด

คำถามที่พบบ่อย