ปี 2025 ถือเป็นปีที่การแข่งขันบนโลกออนไลน์เข้มข้นที่สุดตั้งแต่มี e-Commerce มา เพราะแทบทุกธุรกิจต่างหันมาทำ โฆษณาออนไลน์ (Ads) เพื่อแย่งพื้นที่บนหน้าฟีดของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น Facebook, TikTok, หรือ Google แต่สิ่งที่เจ้าของร้านจำนวนมากกำลังเผชิญคือ “ค่าโฆษณาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ” ในขณะที่ยอดขายกลับไม่เพิ่มตาม
การทำ Ads ให้ได้ผลไม่ใช่เรื่องการจ่ายเงินแต่ต้องเข้าใจระบบ

1. เข้าใจระบบ Ads ก่อนลงมือยิง
การทำโฆษณาออนไลน์ไม่ใช่แค่การกด “Boost Post” แล้วรอให้ยอดขายไหลมา แต่ต้องเข้าใจว่าระบบโฆษณาแต่ละแพลตฟอร์มใช้ “อัลกอริทึม” วิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้
เช่น
- Facebook Ads ใช้ระบบเรียนรู้ (Learning Phase) เพื่อหากลุ่มลูกค้าที่มีแนวโน้มซื้อ
- Google Ads ทำงานแบบ Intent-driven คือแสดงโฆษณาให้คนที่ “กำลังค้นหา” สินค้าคล้ายคุณอยู่แล้ว
- TikTok Ads เน้นความสนใจ (Interest-based) ผ่านวิดีโอสั้นและความไวของการเลื่อนฟีด
การเข้าใจจุดเด่นของแต่ละแพลตฟอร์มจะช่วยให้คุณเลือกกลยุทธ์ได้ถูก เช่น ถ้าเป็นสินค้าที่ลูกค้าต้องค้นหาก่อนซื้อ เช่น อาหารเสริม หรือบริการเฉพาะทาง ควรใช้ Google Ads มากกว่า Facebook Ads ซึ่งเหมาะกับสินค้าที่ต้องการกระตุ้นความสนใจ
2. ทำคอนเทนต์ให้ตรงกับพฤติกรรมของผู้ซื้อ
ปี 2025 ไม่ใช่ยุคที่ “คอนเทนต์เยอะ = ยอดขายเยอะ” อีกต่อไป แต่คือยุคที่ “คอนเทนต์แม่น = ยอดขายโต” ผู้บริโภควันนี้เลือกซื้อจากแบรนด์ที่เข้าใจปัญหาและสื่อสารด้วยความจริงใจ
เคล็ดลับคือ
- ใช้รูปแบบวิดีโอสั้น (Short-form Video) เพื่อดึงความสนใจใน 3 วินาทีแรก
- ใช้ Storytelling เล่าปัญหา – แก้ปัญหา – ผลลัพธ์
- สร้างบทความหรือรีวิวที่ตอบคำถามลูกค้าจริง เช่น “ทำไมใช้สินค้านี้แล้วคุ้มกว่าเจ้าอื่น”
- ใส่ Keyword ที่ลูกค้าค้นหาในคอนเทนต์ เพื่อช่วยให้ระบบโฆษณาและ SEO ทำงานร่วมกันได้ดี
3. วัดผลและปรับโฆษณาอย่างต่อเนื่อง
โฆษณาออนไลน์ไม่ได้จบหลังจากกด “เผยแพร่” แต่ต้องติดตามผลตลอดเวลา
ตัวชี้วัดสำคัญที่ต้องรู้ ได้แก่
- CTR (Click Through Rate) คนเห็นแล้วกดดูมากแค่ไหน
- CPA (Cost per Action) ต้นทุนต่อการซื้อ
- ROAS (Return on Ad Spend) ผลตอบแทนต่อเงินโฆษณา
ถ้าตัวเลขไม่ดี ไม่ได้หมายความว่า Ads ล้มเหลวเสมอไป แต่อาจต้องปรับกลุ่มเป้าหมาย คอนเทนต์ หรือแม้แต่ช่วงเวลาในการยิง การทำ Ads ที่มีประสิทธิภาพคือการเรียนรู้และปรับให้เหมาะกับข้อมูลจริงในแต่ละช่วง

4. ใช้โฆษณาอย่างมีกลยุทธ์ ไม่ใช่พึ่งพาอย่างเดียว
เจ้าของร้านจำนวนมากตกอยู่ใน “กับดักโฆษณา” เพราะยอดขายทุกเดือนมาจากการยิง Ads เท่านั้น
พอหยุดยิง โพสต์ก็เงียบ รายได้ก็หาย
กลยุทธ์ที่ดีกว่าคือใช้โฆษณาเพื่อ “เปิดตลาด” หรือ “สร้างการรับรู้ (Awareness)” ในช่วงแรก จากนั้นค่อยสร้างฐานลูกค้าด้วยช่องทางที่ไม่ต้องจ่ายเงินซ้ำ เช่น การทำ SEO, การสร้างคอนเทนต์รีวิว, และการทำ E-mail Marketing เพื่อเก็บลูกค้าเดิมกลับมาซื้อซ้ำ

SEO คือเครื่องมือที่ช่วยให้ขายได้โดยไม่ต้องพึ่งโฆษณาตลอดไป
เมื่อเข้าใจระบบโฆษณาแล้ว สิ่งที่เจ้าของร้านควรคิดต่อคือ “จะทำอย่างไรให้ไม่ต้องจ่ายค่า Ads ทุกเดือน” คำตอบคือ SEO (Search Engine Optimization)
การทำ SEO คือการปรับเว็บไซต์ให้ติดอันดับใน Google โดยไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณา ซึ่งช่วยดึงลูกค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่องโดยไม่เสียค่า Ads ซ้ำทุกเดือน
หากคุณมีร้านค้าออนไลน์ที่ขายสินค้าคล้ายคู่แข่ง แต่คู่แข่งมีเว็บไซต์ติด Google หน้าแรก โอกาสที่ลูกค้าจะเลือกคู่แข่งย่อมสูงกว่า เพราะความน่าเชื่อถือและการมองเห็นคือหัวใจของการขายในยุคนี้
การทำ SEO ไม่ใช่เรื่องของเทคนิคอย่างเดียว แต่ต้องมีการวิเคราะห์คำค้น การสร้างคอนเทนต์ที่ตอบคำถามลูกค้า และการปรับโครงสร้างเว็บไซต์ให้ Google เข้าใจได้ง่าย ซึ่งทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ บริษัทรับทำ SEO มืออาชีพสามารถช่วยได้
SEO Agency ต่อธุรกิจออนไลน์ยุคใหม่
การทำงานร่วมกับ SEO Agency ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องเลิกยิง Ads แต่เป็นการวางกลยุทธ์ให้ทั้งสองเครื่องมือเสริมกัน
- ใช้ Ads เพื่อสร้างการรับรู้ระยะสั้น
- ใช้ SEO เพื่อสร้างการเติบโตระยะยาว
เมื่อทั้งสองทำงานร่วมกัน เว็บไซต์ของคุณจะได้รับทั้งการมองเห็นจาก Ads และการค้นหาแบบธรรมชาติจาก Google ซึ่งช่วยลดต้นทุนการตลาดระยะยาวและสร้างฐานลูกค้าที่มั่นคงกว่าเดิม
ปี 2025 คือปีที่เจ้าของร้านค้าออนไลน์ต้อง “คิดแบบนักกลยุทธ์” มากกว่านักโฆษณา เพราะการยิง Ads เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป หัวใจของการตลาดยุคใหม่คือ “ทำให้ลูกค้าเจอเราโดยไม่ต้องจ่ายเพิ่มทุกครั้งที่คลิก”
การเริ่มต้นทำ SEO ควบคู่กับโฆษณาคือคำตอบที่ยั่งยืนที่สุด เพราะ SEO จะช่วยให้แบรนด์ของคุณถูกค้นเจอได้ตลอดเวลา แม้ไม่ได้ลงโฆษณาเลยก็ตาม
