เคยไหมคะที่รู้สึกมือชา เท้าชา แล้วก็แค่คิดว่า “คงแค่เหนื่อย” หรือ “นั่งผิดท่า” แล้วปล่อยผ่านไป แต่รู้ไหมว่าอาการเหล่านี้บางครั้งอาจไม่ใช่แค่เรื่องเล็ก ๆ เพราะมันอาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพบางอย่างที่ไม่ควรมองข้าม
มือชา เท้าชา เกิดจากอะไรได้บ้าง
- ท่าทางซ้ำ ๆ หรืออยู่ท่าเดิมนานเกินไป
เช่น นั่งไขว่ห้าง พิงแขนบนโต๊ะนาน ๆ จนเส้นประสาทถูกกดทับ - ความเครียดหรือพักผ่อนไม่พอ
ระบบไหลเวียนเลือดทำงานผิดปกติ ทำให้ปลายประสาทรับสัญญาณได้ไม่ดี - ขาดวิตามินบางชนิด
โดยเฉพาะวิตามินบี ซึ่งมีผลต่อการทำงานของระบบประสาท - เบาหวาน
ระดับน้ำตาลที่สูงต่อเนื่องอาจทำลายปลายประสาท ส่งผลให้เกิดอาการชา - หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท
อาการนี้มักมีอาการร่วม เช่น ปวดหลัง ร้าวลงขา หรือปวดต้นคอ - โรคปลายประสาทอักเสบ
ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ ภูมิคุ้มกัน หรือสารพิษบางอย่าง
สังเกตตัวเองอย่างไรว่าไม่ใช่แค่เหนื่อย
- อาการชาบ่อยขึ้นหรือเป็นซ้ำ ๆ แม้พักแล้วก็ไม่หาย
- ชาร่วมกับอาการอื่น เช่น ปวดแปลบ กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือเดินลำบาก
- ชาแบบเฉียบพลัน โดยเฉพาะถ้าเป็นข้างเดียวของร่างกาย (เช่น ชาซีกขวาทั้งตัว)
- มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หรือเคยประสบอุบัติเหตุเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง
วิธีดูแลตัวเองเบื้องต้น
- เปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ ไม่อยู่ในท่าทางเดิมนานเกินไป
- พักสายตาและขยับร่างกายบ้างหากทำงานหน้าคอมนาน
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ และทานอาหารที่ช่วยบำรุงระบบประสาท เช่น ปลา ไข่ ถั่ว
- ถ้ามีอาการเรื้อรัง ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุให้ชัดเจน
อาการมือชา เท้าชา อาจดูเล็กน้อย แต่ถ้าเกิดบ่อยหรือรบกวนชีวิตประจำวัน อย่าปล่อยผ่านนะคะ เพราะมันอาจเป็นเสียงเบา ๆ จากร่างกายที่กำลังขอให้เราหันมาดูแลตัวเองมากขึ้น