หลายปีก่อน การขายของออนไลน์ หรือรายได้จาก YouTube, TikTok, Facebook ยังถูกมองว่าเป็น “รายได้เสริม” แต่วันนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว รายได้ออนไลน์กลายเป็น รายได้หลัก ของคนรุ่นใหม่จำนวนมาก
และเมื่อเงินเริ่มไหลผ่านช่องทางดิจิทัลมากขึ้น “ภาษีดิจิทัล” ก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจอย่างเต็มตัว
พูดง่าย ๆ คือ ถ้าคุณมีรายได้จากโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นยอดขายจาก Shopee, ค่าคอมจากรีวิวสินค้า, หรือเงินโอนจากลูกค้าผ่านบัญชี สิ่งเหล่านี้ล้วนถือเป็น รายได้ที่ต้องเสียภาษีตามกฎหมาย
ภาษีดิจิทัลคืออะไร และใครต้องจ่าย
คำว่า “ภาษีดิจิทัล” (Digital Tax) อาจฟังดูซับซ้อน แต่ถ้าอธิบายแบบง่าย ๆ มันคือ “ภาษีที่รัฐจัดเก็บจากรายได้ที่เกิดขึ้นในโลกออนไลน์” ซึ่งมีทั้งสองกลุ่มหลักที่เกี่ยวข้อง
- บุคคลทั่วไปที่มีรายได้จากออนไลน์ เช่น
- ฟรีแลนซ์
- ยูทูบเบอร์
- ครีเอเตอร์
- พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์
- แพลตฟอร์มดิจิทัลจากต่างประเทศ เช่น Google, Meta, TikTok, Netflix ซึ่งต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ให้กับกรมสรรพากรไทยเช่นกัน
ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้สร้างรายได้เองหรือทำธุรกิจผ่านแพลตฟอร์มอื่น ภาษีดิจิทัลคือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้อีกต่อไป
รายได้ออนไลน์แบบไหนต้องเสียภาษีบ้าง
หลายคนเข้าใจผิดว่า รายได้ออนไลน์เล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ต้องแจ้งภาษี แต่ความจริงคือ ทุกบาทที่ได้จากการทำงานหรือขายของออนไลน์ถือเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษี ตัวอย่างรายได้ที่เข้าข่ายภาษีดิจิทัล ได้แก่
- รายได้จาก YouTube, TikTok, Facebook (Ad Revenue, Creator Fund)
- รายได้จากการขายสินค้าออนไลน์ เช่น Lazada, Shopee
- รายได้จาก Affiliate Marketing หรือ Influencer
- รายได้จากการสอนออนไลน์ หรือคอร์สเรียน
- รายได้จากงานฟรีแลนซ์ เช่น เขียนบทความ ออกแบบเว็บไซต์ หรือรับทำ SEO
แม้รายได้บางช่องทางจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้แล้ว แต่ก็ยังต้อง รวมยอดรายได้ทั้งหมดเพื่อยื่นภาษีประจำปี อยู่ดี
ภาษีดิจิทัลต่างจากภาษีทั่วไปไหม
ในมุมของผู้มีรายได้ทั่วไป ภาษีดิจิทัล ไม่ได้ต่างจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เลย เพียงแต่อยู่ในรูปแบบรายได้ที่มาจากช่องทางออนไลน์
สิ่งที่ต่างคือ “วิธีเก็บข้อมูลรายได้” เพราะทุกธุรกรรมออนไลน์ในวันนี้มักผ่านระบบดิจิทัลที่สามารถตรวจสอบได้ง่าย เช่น บัญชีธนาคาร, แพลตฟอร์มโฆษณา, ระบบ Payment Gateway
ดังนั้น รัฐสามารถตรวจสอบเส้นทางการเงินได้แม่นยำขึ้น และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมการ “ซ่อนรายได้ออนไลน์” จึงเริ่มเสี่ยงมากขึ้นเรื่อย ๆ
รู้ก่อนจัดการ ภาษีดิจิทัลมีประเภทใดบ้าง
1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (Personal Income Tax)
ทุกคนที่มีรายได้ในประเทศไทยต้องยื่นแบบภาษีประจำปี (ภ.ง.ด.90 หรือ 91) ถ้ามีรายได้จากหลายช่องทาง เช่น ขายของ + ทำคอนเทนต์ ต้องรวมทั้งหมดแล้วคำนวณภาษีรวม
2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
ถ้ารายได้รวมต่อปีเกิน 1.8 ล้านบาท ต้องจดทะเบียน VAT และเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากลูกค้าด้วย (ปัจจุบัน 7%)
3. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax)
กรณีรับงานจากบริษัทหรือลูกค้ารายใหญ่ มักถูกหักภาษีไว้ล่วงหน้า เช่น 3% หรือ 5% ใบหักภาษีนี้สามารถนำไปลดหย่อนภาษีตอนยื่นปลายปีได้
บริหารภาษีออนไลน์ให้เหมือนธุรกิจ
หนึ่งในข้อผิดพลาดของคนทำงานออนไลน์ คือ “คิดว่ารายได้ตัวเองเป็นแค่เงินจิปาถะ” แต่ถ้ามองในมุมของผู้ประกอบการ รายได้ทุกช่องทางคือธุรกิจย่อยที่ต้องมีระบบการจัดการภาษีที่ดีเริ่มจาก 3 อย่างนี้
1. แยกบัญชีส่วนตัวออกจากบัญชีงาน
อย่าใช้บัญชีเดียวกันในการรับเงินลูกค้าและใช้จ่ายส่วนตัว เพราะจะทำให้ติดตามรายได้และค่าใช้จ่ายเพื่อยื่นภาษีได้ยาก
2. เก็บหลักฐานรายได้ให้ครบ
เช่น สลิปโอนเงิน, ใบเสร็จ, หรือรายงานจากแพลตฟอร์ม (เช่น YouTube Analytics, Shopee Dashboard) เพราะนี่คือหลักฐานสำคัญในการคำนวณภาษีและหักค่าใช้จ่ายได้ถูกต้อง
3. วางแผนลดหย่อนภาษีล่วงหน้า
อย่ารอให้ถึงสิ้นปีค่อยคิด เพราะภาษีคือเรื่องของการ “วางแผนตลอดปี” ลงทุนกองทุนลดหย่อน RMF, SSF หรือประกันชีวิต เพื่อให้ภาษีที่ต้องจ่ายลดลงอย่างมีระบบ
อย่ามองภาษีเป็นภาระ แต่มองเป็นเครื่องมือ
การเสียภาษีคือการ “ประกาศตัวตนทางการเงิน” เมื่อคุณมีรายได้ถูกต้อง มีประวัติภาษีชัดเจน สิ่งที่ตามมาคือ “เครดิตทางการเงิน” ที่ใช้ต่อยอดได้อีกมาก เช่น
- ขอสินเชื่อบ้าน รถ หรือธุรกิจง่ายขึ้น
- มีสิทธิ์ร่วมโครงการของรัฐ
- ใช้เอกสารภาษีในการขอวีซ่าหรือทำธุรกรรมต่างประเทศ
ภาษีไม่ใช่สิ่งที่ต้องกลัว แต่คือ ระบบที่ช่วยให้คุณเติบโตทางการเงินอย่างยั่งยืน
โลกกำลังเปลี่ยน ธุรกิจออนไลน์ต้องโปร่งใส
ในยุคที่ทุกอย่างขยับสู่ระบบดิจิทัล การไม่เข้าใจภาษีเท่ากับการปิดโอกาสของตัวเอง
เพราะอนาคตอันใกล้ รัฐจะเริ่มเชื่อมข้อมูลระหว่างธนาคาร–แพลตฟอร์ม–ระบบภาษีแบบครบวงจร รายได้ทุกบาทจากออนไลน์จะถูกบันทึกอัตโนมัติ และผู้ที่เตรียมตัวก่อนเท่านั้นจะอยู่ได้อย่างสบายใจ
พูดง่าย ๆ คือ “ทำงานออนไลน์ได้ ต้องบริหารภาษีเป็น” ไม่ใช่เพราะกลัวโดนตรวจสอบ แต่เพราะอยากเป็นมืออาชีพในเส้นทางที่เลือก
ภาษีดิจิทัลไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด ถ้าเข้าใจหลักและเริ่มต้นบริหารเหมือนธุรกิจจริง คุณจะรู้ว่าภาษีไม่ใช่สิ่งที่ควรหนี แต่คือ “สัญญาณของความมั่งคั่งที่เริ่มต้นขึ้น”
เพราะคนที่มีรายได้จากออนไลน์อย่างมั่นคง คือคนที่เรียนรู้จะจัดการรายได้ ค่าใช้จ่าย และภาษีของตัวเองอย่างชัดเจน
จำไว้ว่าภาษีไม่ใช่ค่าปรับของคนทำงาน แต่มันคือ “ราคาของความสำเร็จ” ที่คนมีรายได้ต้องรู้จักบริหารอย่างมืออาชีพ